การเจาะสำรวจดินและการทดสอบคุณสมบัติของดิน เป็นขั้นตอนสำคัญก่อนการก่อสร้างอาคาร เพื่อช่วยในการการออกแบบฐานรากที่เหมาะสมกับสภาพชั้นดินและน้ำหนักของอาคาร โดยข้อมูลจากการเจาะสำรวจดินและการทดสอบคุณสมบัติของดิน จะถูกใช้ในการคำนวณขนาดและความยาวของเสาเข็มที่เหมาะสม เพื่อให้เสาเข็มสามารถรองรับน้ำหนักของอาคารได้อย่างปลอดภัย
ขั้นตอนการเจาะสำรวจดิน
1.กำหนดจุดเจาะ
จุดเจาะควรกระจายอย่างสม่ำเสมอทั่วบริเวณฐานรากของอาคาร โดยพิจารณาจากขนาดและรูปร่างของอาคาร ตำแหน่งของเสาเข็ม และสภาพพื้นที่
2.เจาะหลุมสำรวจ
หลุมสำรวจควรมีขนาดและลึกพอที่จะเก็บตัวอย่างดินได้เพียงพอสำหรับการวิเคราะห์ โดยขนาดของหลุมสำรวจโดยทั่วไปจะอยู่ที่ประมาณ 1.5-2 เมตร
3.เก็บตัวอย่างดิน
ตัวอย่างดินควรเก็บจากชั้นดินต่างๆ โดยพิจารณาจากลักษณะของดินและระดับความลึกของชั้นดิน โดยทั่วไปจะใช้วิธีการเจาะดินด้วยปืนเจาะ หรือการใช้เครื่องเจาะชนิดต่างๆ
วิเคราะห์ตัวอย่างดิน
ตัวอย่างดินจะถูกส่งไปยังห้องปฏิบัติการเพื่อวิเคราะห์หาคุณสมบัติทางกลของดิน เช่น cohesion, friction angle, internal friction coefficient
การทดสอบคุณสมบัติของดิน
นอกจากการเจาะสำรวจดินแล้ว ยังมีวิธีการทดสอบคุณสมบัติของดินอื่นๆ เพิ่มเติม เช่น
- SPT (Standard Penetration Test) เป็นวิธีการทดสอบความแข็งของดิน โดยการนำอุปกรณ์รูปทรงกรวยเหล็กลงไปในดินแล้วกดลงไปด้วยแรงที่กำหนด หากดินแข็ง อุปกรณ์จะกดลงไปได้ยาก ในทางกลับกัน หากดินอ่อน อุปกรณ์จะกดลงไปได้ง่าย ผลการทดสอบ SPT จะแสดงออกมาในรูปแบบของค่า N ตัวเลขยิ่งสูง แสดงว่าดินยิ่งแข็ง
- CPT (Cone Penetration Test) เป็นวิธีการทดสอบความแข็งของดิน โดยการนำอุปกรณ์รูปทรงกรวยเหล็กลงไปในดินแล้วกดลงไปด้วยแรงที่กำหนด โดยอุปกรณ์จะส่งสัญญาณไฟฟ้าไปยังสายวัดที่อยู่ด้านบน เพื่อบันทึกแรงกดและแรงต้านทานของดิน ผลการทดสอบ CPT จะแสดงออกมาในรูปแบบของค่า qc ตัวเลขยิ่งสูง แสดงว่าดินยิ่งแข็ง
- DCPT (Dynamic Cone Penetration Test) เป็นวิธีการทดสอบความแข็งของดิน โดยการนำอุปกรณ์รูปทรงกรวยเหล็กลงไปในดินแล้วตีลงไปด้วยน้ำหนักที่กำหนด หากดินแข็ง อุปกรณ์จะตีลงไปได้ยาก ในทางกลับกัน หากดินอ่อน อุปกรณ์จะตีลงไปได้ง่าย ผลการทดสอบ DCPT จะแสดงออกมาในรูปแบบของค่า qc ตัวเลขยิ่งสูง แสดงว่าดินยิ่งแข็ง
ประโยชน์ของการเจาะสำรวจดินและการทดสอบคุณสมบัติของดิน
การเจาะสำรวจดินและการทดสอบคุณสมบัติของดิน ช่วยให้ทราบถึงสภาพชั้นดินและคุณสมบัติทางกลของดิน ซึ่งข้อมูลเหล่านี้จำเป็นสำหรับการคำนวณขนาดและความยาวของเสาเข็มที่เหมาะสม เพื่อรองรับน้ำหนักของอาคารและแรงกระทำอื่นๆ ได้อย่างปลอดภัย ดังนี้
- ช่วยให้สามารถเลือกชนิดของเสาเข็มที่เหมาะสมกับสภาพชั้นดิน
- ช่วยให้สามารถคำนวณขนาดและความยาวของเสาเข็มได้อย่างเหมาะสม
- ช่วยให้สามารถประเมินค่าใช้จ่ายในการตอกเสาเข็มได้อย่างแม่นยำ
การจัดทำ Boring Log
Boring log เป็นเอกสารที่บันทึกข้อมูลจากการเจาะสำรวจดิน ซึ่งจะรวมถึงข้อมูลต่างๆ ดังนี้
- ข้อมูลทั่วไป เช่น ชื่อโครงการ สถานที่ก่อสร้าง ขนาดและลึกของหลุมเจาะ
- ข้อมูลลักษณะของดิน เช่น ประเภทของดิน สีของดิน ความแข็งของดิน ความชื้นของดิน
- ข้อมูลการทดสอบคุณสมบัติของดิน เช่น ค่า N จากการทดสอบ SPT ค่า qc จากการทดสอบ CPT หรือค่าอื่นๆ
Boring log จึงเป็นเอกสารที่สำคัญสำหรับการออกแบบฐานราก เนื่องจากช่วยให้วิศวกรสามารถทราบถึงสภาพชั้นดินและคุณสมบัติทางกลของดินได้อย่างละเอียด ซึ่งนำไปสู่การเลือกขนาด ความยาว และตำแหน่งต่อเชื่อม ของเสาเข็มที่เหมาะสมต่อไป
ติดต่อเรา
บริษัท เดอะไพล์ เอ็นจิเนียริ่ง จำกัด
108/1 หมู่ที่ 3 ต.คูคต อ.ลำลูกกา จ.ปทุมธานี 12130
Tel: 099-285-5819
Email: thepile.engineering@gmail.com
Website: www.thepileengineering.com
Facebook page: www.facebook.com/thepileengineering